สำนักข่าวโฟกัส
สงขลา-เปิด 13 โครงการ 6 จังหวัดอันดามัน กรอบวงเงิน 350 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567 ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567
2. เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด จำนวน 13 โครงการ กรอบวงเงิน 350 ล้านบาท โดยให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงินโครงการ รวมทั้งให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป
3. เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน จำนวน 6 โครงการ กรอบวงเงิน 272,099,000 บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ
4. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนในส่วนที่เหลือ จำนวน 44 โครงการ เพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
5. เห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 เรื่อง ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2566 และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566 โดยให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงินโครงการ รวมทั้งให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ต่อไป
6. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการและรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
1. นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้จัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 ณ จังหวัดระนอง โดยมอบหมายให้ สศช. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เป็นฝ่ายเลขานุการจัดการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เพื่อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดระนอง
2. ในช่วงระหว่างวันที่ 9 – 19 มกราคม 2567 สศช. ร่วมกับสำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทยได้ประสานจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และภาคเอกชนในการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่เป็นความต้องการของพื้นที่ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 13 – 14 มกราคม 2567 สศช. สำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่ประชุมหารือเพื่อพิจารณาโครงการตามความต้องการของพื้นที่ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที
3. สศช. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ได้จัดการประชุมฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567 ณ ห้องประชุมรัตนรังสรรค์ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดระนอง จังหวัดระนอง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) เป็นประธานการประชุมฯ มีผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนสถาบันภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เข้าร่วมประชุมฯ โดยข้อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
สรุปได้ดังนี้
3.1 ข้อเสนอโครงการที่มีความพร้อมและดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปี จำนวน 13 โครงการ กรอบวงเงิน 350 ล้านบาท ดังนี้ (1) โครงการผนึกกำลังผู้ประกอบการทางการค้ากับเศรษฐกิจท่องเที่ยวอันดามันเชิงสร้างสรรค์ วงเงิน 33,200,000 บาท (2) โครงการมารีน่าชุมชน ยกระดับคุณภาพ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อเรือท่องเที่ยวชุมชนทะเลอันดามัน วงเงิน 16,800,000 บาท (3) โครงการปรับปรุงพื้นฟูพื้นที่ฝังกลบขยะมูลฝอย ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย เทศบาลนครภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 35,000,000 บาท (4) โครงการก่อสร้างเขื่อน คสล. คลองบางใหญ่ (เฟส 2) (ภายในโรงเรียนสตรีภูเก็ต) วงเงิน 15,000,000 บาท (5) โครงการปรับปรุงถนนและระบบสาธารณูปโภคพร้อมปรับภูมิทัศน์ถนนจัดสรรพัฒนา ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง วงเงิน 50,000,000 บาท (6) โครงการเพิ่มศักยภาพการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินของเมืองท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ จังหวัดกระบี่ วงเงิน 50,000,000 บาท (7) โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือควนตุ้งกู บ้านควนตุ้งกู ตำบลบางสัก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง วงเงิน 25,000,000 บาท (8) โครงการการขับเคลื่อนจังหวัดตรังสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร “Trang Gastronomy and Creative City” เพื่อเข้าร่วมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์องค์การยูเนสโก วงเงิน 25,000,000 บาท (9) โครงการท่าเทียบเรืออัจฉริยะจังหวัดพังงา (Phang Nga Smart Piers) วงเงิน 42,500,000 บาท (10) โครงการติดตั้งระบบดับเพลิง (Fire Pump) พร้อมระบบท่อน้ำดับเพลิงและตู้อุปกรณ์ดับเพลิงขององค์การบริหารส่วนตำบลเกาะปันหยี วงเงิน 7,500,000 บาท (11) โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจร เทศบาลตำบลกำแพง จังหวัดสตูล วงเงิน 19,902,000 บาท (12) โครงการติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำบริเวณอ่าวประมง เกาะหลีเป๊ะ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล วงเงิน 12,903,000 บาท และ (13) โครงการถนนบนคันคลองส่งน้ำ LMC ฝายดุสน ตำบลควนโดน อำเภอควนโคน จังหวัดสตูล วงเงิน 17,195,000 บาท
มติที่ประชุม :
เห็นชอบในหลักการของโครงการทั้ง 13 โครงการ กรอบวงเงิน 350 ล้านบาท โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอน และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงิน รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป
////////////////