“กลุ่มฮากีมีน มุสลิมมลายู 3 จังหวัด ชต.” ออกแถลงการณ์ในนามประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ แสดงเจตจำนงเรียกร้องพื้นที่สันติสุข ขณะภาคประชาสังคมระบุ เห็นด้วยกับการแสดงออกประชาชน พร้อมเรียกร้องความสามัคคีของคนในสังคม โดยกลุ่มฮากีมีนฯระบุในคำแถลงการณ์ว่า
“ขอความสันติสุข ความเมตตาของอัลลอฮ์ และสิริมงคลของพระองค์ประสบแด่ท่าน
เนื่องด้วยกลุ่มเราฮากีมีน มุสลิมมลายู 3 จังหวัด เราเป็นชาวบ้านและผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ล้วนแต่เป็นพี่น้องมุสลิมที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการยึดมั่นแนวทางอิสลามที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมีอาชีพทหาร ตำรวจ อส. กำนันผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำศาสนา ทุกคนนั้นจะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์(ซบ.) ที่ต้องปฏิบัติตนยึดมั่นตามอัลกุรอานและหะดีษ และตักเตือนพี่น้องที่หลงผิดทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตตนเองและเครือญาติ
- พื้นที่ดารุสลาม 3 จังหวัดไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบเหมือนดินแดนปาเลสไตน์ ที่เรียกร้องการต่อสู้เพื่อยีฮาจ เนื่องจากพี่น้องมุสลิมมลายู 3 จังหวัด รวมทั้งจังหวัดอื่นๆ นั้น รัฐไม่ได้กดขี่ข่มเหงผู้นับถือศาสนา และยังให้สิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่กับทุกศาสนา เมื่อพี่น้องเรามุสลิมมลายูสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเสรีภาพ จึงไม่มีเหตุเงื่อนไขที่จะอ้างเรื่องของการยีฮาจเหมือนปาเลสไตน์
- การบ่อนทำลายพื้นแผ่นดินของอัลลอฮ์(ซบ.) ไม่เห็นด้วยกับความสุดโต่งบ่อนทำลายและการนองเลือดที่ฮารอม เมื่อรัฐให้มีความเท่าเทียมในเรื่องศาสนาและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ระเบียบต่างๆ ของกระทรวงและกฎหมายอื่นๆ
สูเราะฮ์ อัล-อะอฺรอฟ (อายะฮ์ 56) “และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายไว้ในแผ่นดิน หลังจากได้มีการปรับปรุงแก้ไขมันแล้ว และจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยความยำเกรงและความปรารถนากันแรงกล้า แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์นั้นใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย”
ในประเทศไทย ผู้นำศาสนาได้ฟัตวา(ตัดสิน)เรื่องนี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นคำฟัตวาของสำนักจุฬาราชมนตรี มีผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาผู้รู้ มัซฮับชาฟีอี ได้ร่วมวินิจฉัยกับเรื่องนี้ไว้
- การทำหน้าที่ของไทยมุสลิมมลายูในพื้นที่ 3 จชต.ดารุสลาม ล้วนแต่ทำภารกิจในการดูแลชีวิตมวลมนุษยชาติในพระนามของอัลลอฮ์ให้พี่น้องเราทุกคนอยู่สุขปลอดภัย และถือเป็นหน้าที่ด้วยเช่นกันที่จะต้องช่วยเหยื่อคนที่ถูกคนชี้นำสู่ไฟนรกด้วยคำสอนที่บิดเบือนให้กลับมาสู่แนวทางที่ถูกต้อง กลับสู่ความโปรดปรานของอัลลอฮ์
ดังนั้น “กลุ่มฮากีมีน-ผู้ยึดมั่นในหลักอิสลาม” ไทยมุสลิมมลายูในพื้นที่ดารุสลาม 3 จชต. ขอเรียกร้องให้เหล่านักรบปาตานี/บีอาร์เอ็นได้เลิกทำตัวเป็นมุนาฟิกผู้ปลิ้นปล้อนหลอกลวง และควรปฏิบัติตัวอยู่ในแนวทางอิสลามที่ถูกต้อง เราเชื่อว่าอัลลอฮ์พร้อมรับ ขณะเดียวกันพระองค์ทรบรับรู้ถึงการทำหน้าที่อุทิศตนเสียสละของเหล่าเจ้าหน้าที่ไทยมุสลิมมลายูในพื้นที่ดารุสลาม พร้อมทั้งทรงตอบรับในคุณความดีของพี่น้องไทยมุสลิมมลายูทุกคนด้วย วัสลาม”
ต่อกรณีนี้ นางลม้าย มานะการ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ กล่าวว่า ไม่รู้จักกลุ่มและไม่แน่ใจในเจตนารมณ์ว่าต้องการสื่ออะไร หรือที่มาที่ไปของกลุ่ม
เมื่อถามถึงภาครัฐหรือผู้เกี่ยวข้องควรปฏิบัติอย่างไร ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่ประเทศไทย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน รัฐบาลไทยโดยรวมมิได้ทำตัวกดทับหรือกดขี่ หรือไม่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาทุกศาสนา
เพราะหากยังกล่าวในเชิงว่ารัฐกดขี่ กดทับ ละเมิด ก็จะเกิดความคิดที่แบ่งแยก กันระหว่างรัฐกับประชาชน แต่การที่พี่น้องมลายูมุสลิมที่นี่มีความรู้สึกร่วมกับเหตุการณ์ปาเลสไตน์ และต้องการแสดงออกบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดและทำไม่ได้ เจ้าหน้าที่ทหารเอง ก็ควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้และอย่าไปปิดกั้นที่คนที่นี่จะชูธง ชูป้าย
“พี่คิดว่าแถลงการณ์นี้ เตือนสติผู้คนนะ พี่สนับสนุนหลายประเด็นของพวกเขา คนในสังคม จชต. ไม่ค่อยเตือนสติกัน แบบซอฟท์ ๆ มีแต่เข้าข้างฝ่ายนั้น เข้าข้างฝ่ายนี้ แล้วชักกะเย่อกัน จนสังคมไร้ระเบียบ จนเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง 20 ปีก็จัดการไม่ได้ไปแล้วค่ะ“ นางละม้าย กล่าวและว่า
ในส่วนของพวกเรา ประชาชน ภาคประชาสังคม หยุดยื้อกันได้แล้ว อะไรที่เป็นเอกภาพได้ ก็ควรร่วมไม้ร่วมมือกัน